ความรู้ Marketing online – Google SEO
นานเท่าใดกว่าฉันจะเห็นผลลัพธ์ในผลการค้นหา
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่คุณทำจะต้องใช้เวลาสักพักจึงจะแสดงให้เห็นในฝั่ง Google การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจมีผลใน 2-3 ชั่วโมง แต่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อาจใช้เวลาหลายเดือน โดยทั่วไปแล้ว คุณอาจต้องรอ 2-3 สัปดาห์เพื่อดูว่างานของคุณได้รับผลที่เป็นคุณในผลการค้นหาของ Google Search ไหม โปรดทราบว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่คุณทำกับเว็บไซต์จะไม่ส่งผลให้เกิดผลที่ชัดเจนในผลการค้นหา หากคุณไม่พอใจกับผลลัพธ์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่วางไว้ ให้ลองทำซ้ำโดยมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และดูว่าจะส่งผลใดๆ หรือไม่
Google Search Essentials
Google Search Essentials เป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่ทำให้เนื้อหาบนเว็บ (หน้าเว็บ รูปภาพ วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะซึ่ง Google พบบนเว็บ) มีสิทธิ์แสดงและติดอันดับที่ดีใน Google Search
ข้อกำหนดทางเทคนิค: สิ่งที่ Google ต้องการจากหน้าเว็บเพื่อแสดงใน Google Search
นโยบายสแปม: พฤติกรรมและกลยุทธ์ที่อาจทำให้การจัดอันดับต่ำลงหรือไม่แสดงในผลการค้นหาของ Google อย่างสิ้นเชิง
แนวทางปฏิบัติแนะนำที่สำคัญ: สิ่งสำคัญที่จะช่วยปรับปรุงลักษณะที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ Google
ขอแนะนํา 3 ขั้นตอนของ Google Search
การทํางานของ Google Search มี 3 ขั้นตอนต่อไปนี้ และหน้าเว็บบางหน้าอาจไม่ผ่านบางขั้นตอน
การ Crawl: Google ดาวน์โหลดข้อความ รูปภาพ และวิดีโอจากหน้าเว็บที่พบในอินเทอร์เน็ตด้วยโปรแกรมอัตโนมัติที่เรียกว่า Crawler
การจัดทําดัชนี: Google วิเคราะห์ข้อความ รูปภาพ และไฟล์วิดีโอในหน้าเว็บ แล้วจัดเก็บข้อมูลไว้ในดัชนีของ Google ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่
การแสดงผลการค้นหา: เมื่อผู้ใช้ค้นหาใน Google เราจะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคําค้นหาของผู้ใช้
การรวบรวมข้อมูล
ขั้นตอนแรกคือการค้นหาหน้าเว็บที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากไม่มีรีจิสทรีส่วนกลางสำหรับหน้าเว็บทั้งหมด Google จึงต้องค้นหาหน้าเว็บใหม่และหน้าเว็บที่อัปเดตอย่างสม่ำเสมอ แล้วเพิ่มลงในรายการหน้าเว็บที่รู้จัก กระบวนการนี้เรียกว่า "การค้นพบ URL" Google รู้จักหน้าเว็บบางหน้าเพราะเคยไปที่หน้านั้นแล้ว และจะค้นพบหน้าเว็บบางส่วนเมื่อ Google ตามลิงก์จากหน้าเว็บที่รู้จักไปยังหน้าเว็บใหม่อย่างหน้าฮับ เช่น หน้าหมวดหมู่ ลิงก์ไปยังบล็อกโพสต์ใหม่ ส่วนหน้าอื่นๆ จะค้นพบเมื่อคุณส่งรายการหน้าเว็บ (Sitemap) ให้ Google ทำการ Crawl
เมื่อค้นพบ URL ของหน้าเว็บ Google อาจไปที่ (หรือ "ทำการ Crawl") หน้านั้นเพื่อดูสิ่งที่อยู่ในหน้า เราใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากชุดหนึ่งในการรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บหลายพันล้านหน้า โปรแกรมที่ทำการดึงข้อมูลเรียกว่า Googlebot (หรือที่เรียกกันว่า Crawler, โรบ็อต, บ็อต หรือสไปเดอร์ด้วย) Googlebot ใช้ขั้นตอนแบบอัลกอริทึมเพื่อระบุเว็บไซต์ที่จะทำการ Crawl, ความถี่ และจำนวนหน้าเว็บที่จะดึงข้อมูลจากเว็บไซต์แต่ละแห่ง Crawler ของ Google ยังได้รับการกำหนดค่าไว้ไม่ให้ทำการ Crawl เร็วเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการ Crawl มากเกินไปด้วย กลไกนี้อิงตามการตอบสนองของเว็บไซต์ (เช่น ข้อผิดพลาด HTTP 500 หมายถึง "ช้าลง")
อย่างไรก็ตาม Googlebot ไม่ได้รวบรวมข้อมูลหน้าเว็บทุกหน้าที่ค้นพบ เนื่องจากเจ้าของเว็บไซต์อาจไม่อนุญาตให้ทำการ Crawl หน้าเว็บบางหน้า จึงอาจเข้าถึงหน้าอื่นๆ ไม่ได้หากไม่ลงชื่อเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์
ในระหว่างการ Crawl, Google จะแสดงหน้าเว็บและเรียกใช้ JavaScript ที่พบโดยใช้ Chrome เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งคล้ายกับวิธีที่เบราว์เซอร์แสดงผลหน้าเว็บที่คุณเข้าชม การแสดงผลเป็นขั้นตอนสําคัญเนื่องจากเว็บไซต์มักจะใช้ JavaScript ในการนําเสนอเนื้อหาบนหน้าเว็บ และ Google อาจไม่เห็นเนื้อหานั้นหากไม่แสดงผล
การรวบรวมข้อมูลขึ้นอยู่กับว่าโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Google เข้าถึงเว็บไซต์ได้หรือไม่ ปัญหาที่พบได้ทั่วไปเกี่ยวกับการเข้าถึงเว็บไซต์ของ Googlebot ได้แก่
เกิดปัญหาเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์ที่จัดการเว็บไซต์
ปัญหาเกี่ยวกับเครือข่าย
กฎ robots.txt ป้องกันไม่ให้ Googlebot เข้าถึงหน้าเว็บ
แนวทางปฏิบัติแนะนำที่สำคัญ
แม้ว่าจะมีการดำเนินการหลายอย่างที่คุณทำได้เพื่อปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ แต่ก็มีแนวทางปฏิบัติหลัก 2-3 อย่างที่อาจส่งผลมากที่สุดต่อการจัดอันดับและลักษณะที่เนื้อหาเว็บปรากฏใน Google Search ดังนี้
- สร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ น่าเชื่อถือ และคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก
- ใช้คำที่ผู้คนจะใช้ค้นหาเนื้อหาของคุณแล้วแสดงคำเหล่านั้นในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดบนหน้าเว็บ เช่น ชื่อและส่วนหัวหลักของหน้า รวมถึงสถานที่อื่นๆ ที่ให้รายละเอียด เช่น ข้อความแสดงแทนและข้อความลิงก์
- ทำให้ลิงก์เป็นลิงก์ที่สามารถ Crawl ได้เพื่อให้ Google พบหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ของคุณผ่านลิงก์บนหน้าเว็บ
- บอกผู้ใช้เกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณ แสดงตัวในชุมชนต่างๆ พร้อมบอกให้ผู้คนที่สนใจทราบเกี่ยวกับบริการและผลิตภัณฑ์ที่คุณพูดถึงบนเว็บไซต์
- หากมีเนื้อหาอื่นๆ เช่น รูปภาพ, วิดีโอ, Structured Data และ JavaScript ให้ตรวจสอบว่าคุณได้ทำตามแนวทางปฏิบัติแนะนำที่เฉพาะเจาะจงเหล่านั้นเพื่อที่เราจะได้เข้าใจส่วนเนื้อหาเหล่านั้นในหน้าเว็บของคุณด้วยเช่นกัน
- ปรับปรุงลักษณะที่เว็บไซต์ปรากฏใน Google Search โดยการเปิดใช้ฟีเจอร์ที่เหมาะกับเว็บไซต์
- หากมีเนื้อหาที่ไม่ควรปรากฏในผลการค้นหาหรือต้องการเลือกไม่ใช้ทั้งหมด ให้ใช้วิธีที่เหมาะสมในการควบคุมลักษณะที่เนื้อหาของคุณปรากฏใน Google Search
ใช้ชื่อไฟล์ ชื่อเรื่อง และข้อความแสดงแทนที่สื่อความหมาย
Google จะดึงข้อมูลเกี่ยวกับหัวเรื่องของรูปภาพออกจากเนื้อหาของหน้าเว็บ รวมทั้งคำอธิบายภาพและชื่อเรื่องของรูปภาพ เมื่อใดที่เหมาะสม ให้ตรวจสอบว่ารูปภาพวางไว้ใกล้กับข้อความที่เกี่ยวข้องและในหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องของรูปภาพ
ในทำนองเดียวกัน ชื่อไฟล์จะช่วยให้ Google เดาได้นิดหนึ่งว่าเป็นรูปภาพอะไร หากเป็นไปได้ ให้ใช้ชื่อไฟล์ที่สั้นแต่สื่อความหมาย ตัวอย่างเช่น ชื่อ my-new-black-kitten.jpg
จะดีกว่า IMG00023.JPG
หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อไฟล์ทั่วไป เช่น image1.jpg
, pic.gif
, 1.jpg
หากสามารถทำได้ หากเว็บไซต์มีรูปภาพหลายพันรูป คุณอาจพิจารณาใช้การตั้งชื่อรูปภาพแบบอัตโนมัติ หากคุณแปลรูปภาพ อย่าลืมแปลชื่อไฟล์ด้วย โดยยึดตามหลักเกณฑ์การเข้ารหัส URL หากมีการใช้อักขระที่ไม่ใช่ละตินหรือสัญลักษณ์พิเศษ
แอตทริบิวต์ที่สําคัญที่สุดเมื่อให้ข้อมูลเมตาเพิ่มเติมแก่รูปภาพคือข้อความแสดงแทน (ข้อความที่อธิบายรูปภาพ) และยังช่วยปรับปรุงการช่วยเหลือพิเศษสําหรับผู้ที่มองไม่เห็นรูปภาพบนหน้าเว็บ รวมถึงผู้ใช้ที่ใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอหรือมีการเชื่อมต่อที่มีแบนด์วิดท์ต่ำ
Google ใช้ข้อความแสดงแทนพร้อมกับอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์วิทัศน์และเนื้อหาของหน้าเว็บรวมทั้งเพื่อทำความเข้าใจเรื่องของรูปภาพ นอกจากนี้ ข้อความแสดงแทนในรูปภาพยังมีประโยชน์ในการเป็น anchor text หากคุณตัดสินใจที่จะใช้รูปภาพเป็นลิงก์
เมื่อเขียนข้อความแสดงแทน ให้เน้นการสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์และเนื้อหาที่มีข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมและอยู่ในบริบทเนื้อหาของหน้าเว็บ หลีกเลี่ยงการกรอกแอตทริบิวต์ alt
ด้วยคีย์เวิร์ด (หรือที่เรียกว่าการใช้คีย์เวิร์ดในทางที่ผิด) เนื่องจากส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และอาจทำให้ผู้ใช้เห็นว่าเว็บไซต์เป็นสแปม
รูปภาพที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์
bookmark_border
รูปภาพหนึ่งรูปแทนคำได้ 1, 000 คำ และรูปภาพเป็นส่วนสำคัญของทุกหน้า แต่ก็ยังมักทำให้เกิดการดาวน์โหลดข้อมูลส่วนใหญ่ด้วย การออกแบบเว็บที่ตอบสนองตามอุปกรณ์นี้ไม่เพียงสามารถเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ตามลักษณะของอุปกรณ์เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนภาพด้วย
การออกแบบเว็บที่ตอบสนองตามอุปกรณ์ไม่เพียงแต่ทำให้เลย์เอาต์ของเราเปลี่ยนแปลงได้ตามอุปกรณ์ ลักษณะเฉพาะของคุณ แต่เนื้อหาอาจเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เช่น ในระดับสูง ความละเอียดในการแสดงผล (2 เท่า) กราฟิกความละเอียดสูงช่วยให้มีความคมชัด รูปภาพ ที่มีความกว้าง 50% อาจทำงานได้ดีเมื่อเบราว์เซอร์กว้าง 800px แต่ใช้ อสังหาริมทรัพย์ในโทรศัพท์แคบๆ มากเกินไป และค่าใช้จ่ายแบนด์วิดท์เท่ากัน เมื่อลดขนาดให้พอดีกับหน้าจอขนาดเล็ก
ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจชื่อเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น โปรดตรวจสอบว่าคุณได้ทําตาม Search Essentials, หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับ Structured Data, หลักเกณฑ์สําหรับการเลือกชื่อเว็บไซต์ และหลักเกณฑ์ทางเทคนิคต่อไปนี้
หลักเกณฑ์ทางเทคนิค
- 1 ชื่อต่อเว็บไซต์เท่านั้น: ปัจจุบัน Google Search รองรับเพียง 1 ชื่อเว็บไซต์ต่อเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์จะกำหนดจากโดเมนหรือโดเมนย่อย Google Search ไม่รองรับชื่อเว็บไซต์ในระดับไดเรกทอรีย่อย โปรดทราบว่าโดยทั่วไปแล้ว ชื่อโดเมนย่อยที่ขึ้นต้นด้วย
www
หรือm
จะถือว่าเทียบเท่ากัน
รองรับ:https://example.com
(ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมน)
รองรับ:https://www.example.com
(ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมนด้วย)
รองรับ:https://m.example.com
(ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมนด้วย)
รองรับ:https://news.example.com
(ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมนย่อย)
ไม่รองรับ:https://example.com/news
(ถือเป็นหน้าแรกระดับไดเรกทอรีย่อย) - Structured Data ต้องอยู่ในหน้าแรกของเว็บไซต์: Structured Data
WebSite
ต้องอยู่ในหน้าแรกของเว็บไซต์ หน้าแรกในที่นี้หมายถึง URI รากที่ระดับโดเมนหรือโดเมนย่อย ตัวอย่างเช่นhttps://example.com
เป็นหน้าแรกของโดเมน ส่วนhttps://example.com/de/index.html
ไม่ใช่หน้าแรก
ทดสอบ Structured Data
- ตรวจสอบมาร์กอัปด้วยเครื่องมือทดสอบสคีมา (เช่น โปรแกรมตรวจสอบมาร์กอัปสคีมา) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ การทดสอบผลการค้นหาที่เป็นริชมีเดียยังไม่รองรับชื่อเว็บไซต์ในขณะนี้
- ใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL เพื่อทดสอบว่า Google เห็นหน้าเว็บอย่างไร ตรวจสอบว่า Google เข้าถึงหน้าแรกได้ และไม่มีการบล็อกหน้าแรกด้วยไฟล์ robots.txt,
noindex
หรือข้อกำหนดให้เข้าสู่ระบบ - หากหน้าเว็บดูถูกต้องดีแล้ว ก็ขอให้ Google ทำการ Crawl URL อีกครั้งได้
คุณอาจต้องใช้ Sitemap ในกรณีต่อไปนี้
- เว็บไซต์มีขนาดใหญ่ หากเว็บไซต์มีขนาดใหญ่ โดยทั่วไปการตรวจสอบว่าหน้าเว็บทุกหน้าลิงก์อยู่กับหน้าอื่นอย่างน้อย 1 หน้าในเว็บไซต์นั้นทำได้ยากมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ Googlebot จึงมีแนวโน้มที่จะไม่พบหน้าบางหน้า
- เว็บไซต์เป็นเว็บไซต์ใหม่และมีลิงก์ภายนอกจำนวนไม่มากที่ลิงก์มายังเว็บไซต์ Googlebot และ Web Crawler อื่นๆ จะทำการ Crawl เว็บโดยติดตามลิงก์จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ Googlebot อาจไม่พบหน้าของคุณหากไม่มีเว็บไซต์อื่นๆ ลิงก์ไปยังหน้าเหล่านั้น
- เว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาริชมีเดียจำนวนมาก (วิดีโอ รูปภาพ) หรือแสดงอยู่ใน Google News Google Search สามารถพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Sitemap
คุณอาจไม่ต้องใช้ Sitemap ในกรณีต่อไปนี้
- เว็บไซต์มีขนาด “เล็ก” คำว่าเล็กหมายถึงเว็บไซต์มีหน้าเว็บไม่เกิน 500 หน้า ยอดรวมนี้จะนับแต่หน้าที่คุณต้องการให้ปรากฏในผลการค้นหาเท่านั้น
- เว็บไซต์ลิงก์กันภายในอย่างครอบคลุม ซึ่งหมายความว่า Googlebot จะค้นหาหน้าสำคัญๆ ทั้งหมดในเว็บไซต์ได้ด้วยการไปตามลิงก์ต่างๆ โดยเริ่มต้นจากหน้าแรก
- คุณไม่ค่อยมีไฟล์สื่อ (วิดีโอ รูปภาพ) หรือหน้าข่าวที่ต้องการให้แสดงในผลการค้นหา Sitemap จะช่วยให้ Google ค้นพบและเข้าใจไฟล์วิดีโอและรูปภาพ หรือบทความข่าวในเว็บไซต์ของคุณ หากไม่ต้องการให้ผลการค้นหาเหล่านี้ปรากฏใน Search คุณอาจไม่จําเป็นต้องใช้ Sitemap
แนวทางปฏิบัติแนะนําเกี่ยวกับโครงสร้าง URL สําหรับ Google
bookmark_border
Google รองรับ URL ที่กําหนดโดย RFC 3986 อักขระที่กำหนดโดยมาตรฐานเป็นสงวนไว้ต้องเข้ารหัสด้วยเครื่องหมายเปอร์เซ็นต์ ระบบอาจทิ้งอักขระ ASCII ที่ไม่ได้สงวนไว้ในรูปแบบที่ไม่เข้ารหัส นอกจากนี้ อักขระในช่วงที่ไม่ใช่ ASCII ควรเข้ารหัสแบบ UTF-8
หากเป็นไปได้ ให้ใช้คำที่อ่านได้ใน URL แทนที่จะเป็นตัวเลขรหัสยาวๆ
แนะนำ: คําง่ายๆ ที่สื่อความหมายใน URL เช่น
https://en.wikipedia.org/wiki/Aviation
แนะนำ: คําแปลใน URL หากมี
https://www.example.com/lebensmittel/pfefferminz
แนะนำ: ใช้การเข้ารหัส UTF-8 ตามที่จำเป็น ตัวอย่างต่อไปนี้ใช้การเข้ารหัส UTF-8 สำหรับอักขระภาษาอาหรับใน URL
https://www.example.com/%D9%86%D8%B9%D9%86%D8%A7%D8%B9/%D8%A8%D9%82%D8%A7%D9%84%D8%A9
ตัวอย่างต่อไปนี้ใช้การเข้ารหัส UTF-8 สำหรับอักขระภาษาจีนใน URL
https://example.com/%E6%9D%82%E8%B4%A7/%E8%96%84%E8%8D%B7
ตัวอย่างต่อไปนี้ใช้การเข้ารหัส UTF-8 สำหรับอักขระ Umlaut ใน URL
https://www.example.com/gem%C3%BCse
ตัวอย่างต่อไปนี้ใช้การเข้ารหัส UTF-8 สำหรับอีโมจิใน URL
https://example.com/%F0%9F%A6%99%E2%9C%A8
ไม่แนะนำ: ใช้อักขระที่ไม่ใช่ ASCII ใน URL
https://www.example.com/نعناع
https://www.example.com/杂货/薄荷
https://www.example.com/gemüse
https://www.example.com/🦙✨
ไม่แนะนำ: ตัวเลขรหัสยาวๆ ที่อ่านไม่ได้ใน URL เช่น
https://www.example.com/index.php?id_sezione=360&sid=3a5ebc944f41daa6f849f730f1
อย่าใช้ส่วนย่อยเพื่อเปลี่ยนเนื้อหาของหน้าเว็บ เนื่องจากโดยทั่วไป Google จะไม่รองรับ Fragment URL หากคุณใช้ JavaScript เพื่อเปลี่ยนเนื้อหา ให้ใช้ History API แทน
ไม่แนะนำ: Fragment URL เช่น
https://example.com/#/potatoes
หากเว็บไซต์เป็นแบบหลายภูมิภาค ให้พิจารณาใช้โครงสร้าง URL ที่ช่วยลดความยุ่งยากในการกำหนดเป้าหมายตามภูมิศาสตร์บนเว็บไซต์ ดูตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีจัดโครงสร้าง URL ได้ที่การใช้ URL ภาษาท้องถิ่น
แนะนำ: โดเมนเจาะจงประเทศ เช่น
https://example.de
แนะนำ: ไดเรกทอรีย่อยเจาะจงประเทศที่มี gTLD เช่น
https://example.com/de/
ลองใช้ขีดกลางเพื่อแยกคําใน URL เพราะช่วยให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาระบุแนวคิดใน URL ได้ง่ายขึ้น เราขอแนะนำให้ใช้ขีดกลางสั้น (-
) แทนขีดล่าง (_
) ใน URL
แนะนำ: ขีดกลาง (-
) เช่น
https://www.example.com/summer-clothing/filter?color-profile=dark-grey
ไม่แนะนำ: ขีดล่าง (_
) เช่น
https://www.example.com/summer_clothing/filter?color_profile=dark_grey
ไม่แนะนำ: คำใน URL ที่ต่อเข้าด้วยกัน เช่น
https://www.example.com/greendress